|
เมื่อพูดถึงการละเล่นก็ย่อมต้องคู่กับของเล่น...คนโบราณจะนิยมนำสิ่งรอบตัวไม่ว่าจะเป็น
ใบมะพร้าว ก้านมะพร้าว กะลามะพร้าวมาประดิษฐ์เป็นของเล่นต่างๆ มากมาย
ซึ่งหลายคนอาจจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้างกับของเล่นที่ชื่อ ม้าก้านกล้วย
ปืนก้านกล้วย เป็นต้น สำหรับอีสานบ้านเราก็มีภูมิปัญญาทางด้านการละเล่นประจำภาคที่น่าสนใจมาบอกเล่าให้ฟังด้วยเหมือนกัน...
ตีนเลียน

ตีนเลียน ทำจากไม้กระดานรูปวงกลมซึ่งมีรัศมีประมาณ 8-12 นิ้ว โดยจะเจาะรูตรงกลาง แล้วใช้ไม้ไผ่ยาวประมาณ 2 เมตรผ่าครึ่งยาว 12 นิ้ว
เพื่อเชื่อมกับรูกระดานด้วยการตอกตะปู หรือไม้แข็งเป็นเพลา
อาจจะสลักขัดไว้ให้แน่นเพื่อไม่ให้หลุดออกมาก็ได้ ปกติจะนิยมเล่นตีนเลียนในช่วงสงกรานต์หรือประเพณีอื่นๆ
เพื่อเป็นการสร้างความสนุกสนาน ในการเล่นนั้น
ผู้เล่นจะยืนเรียงกันโดยใช้ไม้ไผ่ด้านปลายวางที่บ่า
เมื่อได้ยินสัญญาณบอกให้เริ่มวิ่ง ผู้เล่นจะต้องดันตีนเลียนให้วิ่งออกไป
เพื่อให้ถึงเส้นชัยก่อนเป็นคนแรก โดยจะกำหนดระยะทางไว้ที่ 50-100 เมตร
วิ่งขาโถกเถก
จะใช้ไม้ไผ่กิ่ง 2 ลำ
ถ้าไม่มีก็จะใช้วิธีเจาะรูแล้วเอาไม้อื่นมาสอดไว้เพื่อเป็นที่วางเท้า
โดยผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรง 2 ลำที่มีกิ่งสำหรับวางเท้าเสมอกัน
2 ข้าง ผู้เล่นจะขึ้นไปยืนบนแขนงไม้ เวลาเดินหากยกเท้าข้างไหนมือที่จับลำไม้ไผ่จะยกข้างนั้นตาม
ส่วนมากเด็กๆ มักจะเดินแข่งกัน ใครที่เดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ
มโหรี
เป็นการเล่นดนตรีพื้นบ้านของชาวโคราช โดยมีเครื่องดนตรีคือ
ซอด้วง ซออู้ ปี่นอก กลองเทิ่ง ฉิ่ง ฉาบ
ลักษณะการเล่นจะเป็นการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีดังที่กล่าวมา
จะมีทั้งเพลงไทยเดิม เพลงสมัยใหม่ ส่วน เพลงที่วงมโหรีนิยมบรรเลงคือ
เพลงพม่าแห่กระจาด เพลงกันตรึม เป็นต้น ส่วนมากวงมโหรีจะเล่นในงานมงคลต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นงานโกนจุก แห่นาค ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีการนิยมบรรเลงในงานบวชจำน
โค้งตีนเกวียน
หรือระวงตีนเกวียน
ในการเล่นจะมีคนยืนสลับกับคนนั่งเป็นวงกลมคล้ายล้อเกวียน
พวกที่นั่งจะเอาเท้ายันกันไว้ตรงกลางคล้ายดุมเกวียนและเอามือจับคนที่ยืน
โดยจะเดินไปรอบๆ เป็นวงกลม กลุ่มนั่งจะนั่งให้ก้นลอยพ้นพื้นประมาณหนึ่ง
จากนั้นจะหมุนตามโดยใช้เท้าที่ยันกันไว้เป็นศูนย์กลาง
หากกลุ่มที่นั่งทำมือหลุดก็จะถือว่าเป็นฝ่ายแพ้
ต้องเปลี่ยนให้คนที่ยืนมาเป็นฝ่ายนั่งแล้วค่อยเล่นต่อ
การเล่นโค้งตีนเกวียนจะนิยมเล่นกันเกือบทุกโอกาสโดยเฉพาะในช่วงที่มีเทศกาลตรุษสงกรานต์
บุญข้าวสาก เป็นต้น
หนังตะลุงบ้านผึ้งเพียมาตร
มีตัวหนังเป็นรูปพระราม ตัวทหาร
ตัวตลกที่มีชื่อและลักษณะท่าทางเหมือนคนอีสาน เช่น ปลัดตื้อ บักป่อง บักแหมบ
เวทีที่ใช้แสดงจะอยู่ในระดับสายตา ส่วนจอจะสูงจากเวทีประมาณ 1 เมตร ขนาดเวทีกว้างประมาณ 1.8 เมตร ยาว 5.3
เมตรใช้ตะเกียงโป๊ะ (เจ้าพายุ) เป็นตัวให้แสงไฟส่องจอ
ต่อมาภายหลังเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟขนาด 60-90 แรงเทียน
ในการเล่นนั้นผู้เชิดและผู้พากย์เป็นคนเดียวกัน มีนักดนตรี 3 คน เล่นกลอง แคน ระนาดเอก ปัจจุบันมีการพัฒนาตามความนิยมของผู้ชม คือ
ใช้ทำนองหมอลำซิ่ง เพื่อความสนุกสนาน จะนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์
ตอนพระรามออกบวชจนกระทั่งพระรามกลับมาครองเมือง
การตีคลี
เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวอีสาน
นิยมเล่นตามชนบทโดยมีหลักฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ
การตีคลีในสมัยโบราณมีด้วยกัน 3 ประเภทคือคลีช้าง
ผู้เล่นจะต้องขี่ช้างตี นิยมเล่นกันเป็นจำนวนมากในสมัยอยุธยาคลีม้า
ผู้เล่นจะต้องขี่ม้าตี นิยมเล่นกันมากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คลีคน
ผู้เล่นจะต้องเดินหรือวิ่งตี จะมีทั้งแบบตีคลีธรรมดา และตีคลีไฟ
หรือการเอาลูกเผาไฟให้ลุกท่วมแล้วค่อยนำมาตี นิยมเล่นกันมากในชนบทอีสาน
ไม่ว่าจะเป็นหนองคาย อุบลราชธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด เป็นต้น
อุปกรณ์ในการเล่นจะประกอบด้วยไม้คลี (ไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 เมตร งอนปลายไม้) ลูกคลี
ทำจากไม้ทองหลางหรือขนุนกลึงให้กลมขนาดเท่ามะนาว
โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเล่นในช่วงฤดูหนาวเพื่อเป็นการออกกำลังกายก่อนลงอาบน้ำ
การตีคลีจะนิยมเล่นในเวลากลางคืน เพราะเมื่อเราเอาลูกคลีเผาไฟให้ลุกแดง
เมื่อตีลูกคลีก็จะเป็นเปลวไฟปลิวไปในสนาม สวยงามไปอีกแบบ
เดินกุบกับ
เป็นการละเล่นที่ใช้ของประดิษฐ์จากวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นที่มีตามธรรมชาติ
การเดินกุบกับเป็นการสวมรองเท้าต่อขาให้สูง
โดยคาดว่าน่าจะมาจากการเดินเพื่อข้ามที่ชื้นแฉะ หรือพงหนามที่ไม่รก
โดยจะนำกะลามะพร้าวมาผ่าครึ่งวางคว่ำลงกับพื้น จากนั้นเจาะรูที่ก้นกะลาทั้ง 2
ข้าง นำเชือกเหนียวมา 1 เส้นความยาวพอประมาณที่จะใช้มือดึงขณะที่ยืนได้
ปลายเชือกแต่ละข้างร้อยรูกะลาที่เจาะไว้
ซึ่งอาจจะใช้ตะปูหรือไม้ที่แข็งแรงผูกปลายเชือกที่ร้อยกะลาไม่ให้หลุดออกจากรูกะลา
เวลาเล่นผู้เล่นจะใช้เท้าเหยียบลงบนกะลาทั้ง 2 ข้าง
ดึงเชือกให้ตึงระหว่างง่ามหัวแม่เท้า
เวลาเดินให้ดึงเชือกให้ตึงกะลาจะได้ติดเท้าไปด้วย
เมื่อกะลากระทบพื้นจะมีเสียงดัง “กุบกับ” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง
การละเล่นกุบกับนี้จะไม่ค่อยผาดโผนอันตรายสักเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้เด็กผู้หญิงจึงนิยมเล่นกุบกับมากกว่าเด็กผู้ชาย
การละเล่นพื้นบ้านของอีสานบ้านเรานี้ มีข้อดีหลายอย่าง
ทั้งช่วยสร้างความสามัคคี ความสนุกสนาน ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการนำสิ่งใกล้ตัวมาประดิษฐ์เป็นของเล่น
ซึ่งทำให้ประหยัดสตังค์ในกระเป๋า
และแถมอุปกรณ์ที่นำมาเป็นเครื่องเล่นยังไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
อึ้ม...ว่างๆ ต้องลองทำเล่นหน่อยแล้ว
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น